เที่ยวพม่าไม่ง้อไกด์ตอน มัณฑเลย์ ‘กะ’ พุกาม
(ตามล่าบอลลูนและหลวงพ่อทองคำ) จำนวนผู้เดินทาง:
3 คน ค่าใช้จ่ายต่อคนรวมทุกสิ่งทุกอย่างในทริปแล้ว
(ไม่มีกระเด็นจากกระเป๋าเพิ่มอีก รวมของฝากด้วยนะ) คนละ 12,200 บาท สถานที่ไปเยี่ยมชม:
มัณฑเลย์และเมืองพุกาม ช่วงเวลาที่ไป:
มีนาคม 2559 กล้อง: SONY XPERIA Z3 และ SONY ACTION CAM ครับ
จากประสบการณ์ครั้งก่อนที่ได้ไปดื่มดั่มกับความเป็นพม่า
ทั้งความศรัทธา สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตที่งดงาม
และได้มีโอกาสเขียนบล็อกครั้งแรก
(เที่ยวพม่าไม่ง้อไกด์ตอนแรก ย่างกุ้ง หงสาวดี อินแขวน และสิเรียม - http://travel.edunetglobal.com/Storytelling/Yangon.html)
มาครั้งนี้ได้มีโอกาสไปเยือนอีกครั้งและพบประสบการณ์อีกหลายอย่างเลยขอจดบันทึกเป็นเรื่องราวอีกครั้งครับ
ณ ที่ที่ความศรัทธาไม่มีจุดสิ้นสุด เริ่มจากมีตั๋วโปรมาอีกแล้วครับครั้งนี้ของค่ายหางแดงซึ่งตอนนั้นราคาไปกลับอยู่ที่คนละ
3,920
บาท พอซื้อตั๋วก็ทุกข์อีกครับกิเลศมา
และไปไหนไปไงต่ออ่ะ รู้แต่แม่ว่าถ้าไปต้องไปให้ถึงทะเลเจดีย์
และต้องไปดูพระทองคำที่ขยายตัวได้
(เนื่องจากแม่ไปมาก่อนครับอารมณ์ทริปไฮโครต 6
วัน 48,000 กินดีอาหารอร่อยแต่ผมไม่ใช่แม่งบมอต้นได้แค่นั้น) นั่งหาข้อมูลหลายวันไม่เอาและยาก
เลยใช้เจ้าเดิมครับ (ว่าจะลองเท่ทำเองแต่นะงานก็ทำ หัวหน้าก็เล็ง
เน็ตก็เต่า)
ก็โทรไป 0999-191-598 หา EDUNET
TRAVEL
เจ้านี้เขาเชี่ยวพม่าครับ (โทรอย่างเดียวไม่มีเว็บไรทั้งนั้น)
หายไปพักนึงกลับมาแนะนำเส้นทางซึ่งเราก็มีคุยกันของเปลี่ยนนั้นนี่บ้างจนสรุปการเดินทางตามล่าบอลลูนและพระทองคำดังนี้ครับ 10.55 น. เครื่องออกจากสนามบินดอนเมืองใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมงก่อนมาถึงสนามบินเมืองมัณฑเลย์เวลา 12.20 น. (เวลาที่มัณฑเลย์ต่างจากเมืองไทย 30 นาทีครับ) ซึ่งตามแผนการคือตรงไปพุกามเลยเพื่อเก็บแสงตะวันตกดินพร้อมกับทะเลเจดีย์ เนื่องจากเป็นสนามบินขนาดเล็กครับ เลยไม่ซับซ้อนในการเดินไปผ่านตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม) แต่สนามบินนี้ไม่เหมือนสนามบินย่างกุ้งครับที่มีไวไฟฟรี พอเดินออกจาก ต.ม สิ่งแรกที่ทำเลยคือและเงิน และซื้อซิมโทรศัพท์ครับ (เพราะชีวิตขาดเน็ตไม่ได้) พอเดินออกมาครขับรถก็มาคอยรับเราครับ อัทธยาสัยดีครับไม่ผิดหวังเหมือนครั้งที่แล้วครับ ![]() ภาพที่ 1
ทางออกจากตรวจคนเข้าเมือง หลังจากเจอเขาและสิ่งที่ต้องทำคือแลกเงินที่จะใช้ครับ
ผมไค่อยชอบแลกเงินข้างนอกเพราะผมว่าชีวิตมันยากและประสบการณ์กับการหาข้อมูลจากหลายแห่งพบว่าแลกสนามบินได้เรทดีสุดและปวดหัวน้อยสุดครับ
สำหรับร้านแลกเงิน
จะมีอยู่ประมาณ 5
เจ้าครับหลังพ้น ต.ม พอเดินออกประตูออกมาจะเจอเลยครับ
ผมเปรียบเทียบหลายเจ้าและผมเลือกร้านนี้ครับให้อัตราแลกเปลี่ยนดีสุด
(จากภาพที่ 2
ร้านและเงินอยู่ตรงข้ามหลังเก้าอี้สีน้ำเงินครับ)
ณ
ตอนนั้นเรทที่และได้คือ 1 ดอลล่าเท่ากับ
1240 จ๊าดครับ
ภาพที่ 2
สถานที่รับแลกเงิน หลังจากได้เงินและสิ่งที่เป็นหัวใจของผมในทริปนี้คืออินเตอร์เน็ตครับ
ซึ่งจากการถามข้อมูลเน็ตที่นี่มีสามเจ้าคือ (1)
TELNOR (ดีแทคบ้านเราอ่ะครับ) (2)
OOREDOOR (ชื่อยากเรียกไม่ถูกครับ)
และอีกเจ้าจำชื่อไม่ได้แล้วเป็นของรัฐบาลคนท้องที่บอกว่ากากครับ
ให้เลือกสองยี่ห้อแรก
ผมเลือกอันที่สองเพราะเขาว่ามันอยู่มาก่อน TELENOR เลยครอบคลุมกว่านิดๆ
(แต่ก็ยังหายไปบางที่ครับ) ส่วนแพคเกจที่ซื้อผมก็ซื้อ 1.5 กิ๊กครับเน็ตอย่างเดียวประมาณ
200 บาทครับ
(ผมไม่เอาโทรเลยเพราะผมใส่ POCKET WIFI สำหรับแชร์กันครับ)
ภาพที่ 3
ร้านขายซิมโทรศัพท์
(จะอยู่ด้านซ้ายมือตอนออกจากประตูทางออกจากตรวจคนเข้าเมือง) เมื่อเรียบร้อยล้อต้องหมุนครับ
เราใช้เวลาจากลงเครื่องถึงแลกเงินและซื้อซิมประมาณ 1
ชั่วโมงนิดๆ ครับ 13.30
น.
ล้อหมุเดินทางไปพุกามครับ
ซึ่งรถที่ได้ไม่ใหม่มากแต่ก็ไม่เก่าแอรืเย็นดีครับ
มองไปข้างทางค่อยข้างแห้งแล้ง
การเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลาประมาณ 3
ชั่วโมงครับ 14:15 น. เราหิวครับเลยบอกที่คนขับว่าหิว ช่วยหาร้านให้ทานข้าวกลางวันหน่อย (ซ้ายขวาตอนนั้นประมาณถนนสี่เลนด์ที่ขวาซ้ายเป็นทุ่งแห้งๆ ครับ แต่แกก็ดีครับพอมาเจอร้านข้าวพื้นบ้านครับ (พื้นบ้านจริงครับ) ที่ทำให้เราได้ลองอาหารพม่าเป็นมือ้แรกของที่นี่ (ถ้าเคยทางจะทราบว่าอาหารพม่ามัน มีปลาร้าเป็นน้ำจิ้มและมีผักเคียงครับ) และที่ทำให้เราประทับใจคือขนมหน้าตาประหลาดครับ ถามเขาก็ไม่มีใครอธิบายได้ (ภาษาอังกฤษก็เก่งกันทั้งคู่ครับคุซื้อและคนขาย แต่สุดท้ายเข้าใจนิดเดียว) แต่อร่อยครับทำจากนมวัวหรือนมแพะครับและเอามาจี่เป็นก้อน เวลากินก็โรยน้ำตาลครับ ภาพที่ 4 ร้านอาหารของพม่า ![]() ภาพที่
5-6 อาหารพม่ามาเป็นชุด
และขนมไม่ทราบชื่อทำจากนมมาจี่กินคู่กับน้ำตาล 14.45
น.
เราใช้เวลากินกันไม่นานครับ
อาหารอร่อย (พอได้ครับ) รถวิ่งไปเรื่อย ๆ
ผมเห็นมีรางรถไฟและรถไฟผ่านผมก็ถามเขาว่าถ้าไม่เช่ารถเนี่ยะจากมัณฑเลย์ไปพุกามไปรถไฟได้ไม้
คนขับก็บอกว่าได้ครับค่ารถประมาณ 600 บาท
และใช้เวลาประมาณ 10
ชั่วโมง
ฟังและรู้สึกว่าเออถ้ามาคนเดียวมีเวลาก็มีทางเลือกและแต่มันเป็นรถร้อนอย่างเดียว
10 ชั่วโมงอารมณ์ชั้น 3
ไทยไปเชียงใหม่
(ตรูจะบ้า ตั้งแต่ ร. 5 มาพัฒนาได้แค่นี้
- ขอแอบบ่นแต่ก็ให้กำลังใจเขานะครับ)
17.10
น.
มาถึงและครับทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม
ประวัติเล่าว่าเมื่อก่อนคนเมืองนี้เนี่ยะ
ถ้าครอบครัวไหนมีเงินก็จะสร้างเจดีย์ใหญ่
ไม่มีเงินมากก็สร้างเจดีย์เล็ก แต่ทุกครับครัวจะสร้างครับ
เลยมีเจดีย์เต็มไปหมด
หากจะได้ภาพที่สวยต้องขึ้นไปเจดีย์ใหญ่ครับ
ซึ่งมีไม่กี่องค์ที่ได้รับความนิยม
เจดีย์แรกที่ผมไปคือ ชเวซานดอว์ (Shwesandaw
Pagoda) เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินท่ามกลางทะเลเจดีย์เบื้อหน้าครับ
ก่อนขึ้นเจดีย์ต้องเสียค่าเข้าประมาณ 12 ดอลล่านะครับ
แต่เสียครั้งเดียวเที่ยวได้ 3 วันติดครับ
ทุกเจดีย์
(แต่ผมอยู่แค่สองวันนะ ก็ต้องจ่ายครับ แต่มันแพงนิ ก็ต้องจ่ายยยยยย) นั่งคอยดวงอาทิตย์ตกไปก็ถ่ายรูปไปครับ
ได้รูปมาดังนี้ (ป.ล.
ผมไม่ใช่นักถ่ายรูปมืออาชีพ
รูปก็มาจากกล้องมือถือนะครับ อย่าถือสาผมเลยหากรูปออกมาไม่อิน) ภาพที่
7 เจดีย์ชเวซานดอว์และทางขึ้นอันแสนจะชัน ภาพที่ 8 ตั๋วเข้าชม ภาพที่
9
วิวพระอาทิตย์ตกดิน 18.30
น.
เราลงจากเจดีย์ครับ
เนื่องจากเจดีย์ค่อนข้างชันเลยต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร
เมื่อลงมาถึงคนขับรอเราอยู่ข้างล่างแล้วครับ ภาพที่
10 สภาพทางลงจากเจดีย์และเพื่อร่วมดูวิวของพวกเรา เมื่อลงมาเราก็แวะเข้าไปในเมืองพุกามเพื่อเข้าไปหาอาหารเย็น
โดยที่ไม่ประทับใจเท่าไหร่คืออาหารในพื้นที่ค่อยข้างแพงและไม่อร่อย
(แต่ให้ปริมาณมหาศาลครับ) 20.00 น. เช็คอินเข้าโรงแรมซึ่งเป็นโรงแรมในพื้นที่สนามกอล์ฟครับค่อนข้างดีมาก ราคก็ดีลามที่สุดครับ 60 เหรียญสำหรับสามคนต่อคืนครับ ดีเลิศครับ
ภาพที่
11-12 สภาพโรงแรม วันที่
2
พุกาม - มัณฑเลย์ 5.30 น. วันนี้เราตื่นกันเช้ามากครับเพื่อไปดูบอลลูนและพระอาทิตย์ขึ้นบนทะเลเจดีย์รวมทั้งตามเห็นความศรัทธาของเจดีย์พุกามก่อนกลับไปยังมัณฑเลย์ครับ ในวันนี้ทุกคนตื่นขึ้นมากันอย่างเหนื่อยครับเนื่องจากเมื่อวานเหมือนไม่มีไรมากแต่ก็เยอะพอสมควรสำหรับนักท่องเที่ยวบอบบางแบบผม น้ำยังไม่ต้องอาบครับเวลานี้เช้าไป แปรงฟันเตรียมกล้องและลุยเลยครับ วิหารที่เราไปสถิตเพื่อใช้ถ่ายรูปชื่อว่า วิหารสุลามณี (Sulamani Temple) หรืออีกชื่อ วิหารจุฬามณี ซึ่งฐานของเจดีย์เป็นที่ประดิษฐ์สถานของพระสี่หน้าครับ ภาพที่ 13 วิหารสุลามณี (Sulamani Temple)
ภาพที่
14 วิวพระอาทิตย์ขึ้นเมือมองจากวิหารสุลามณี
หลังจากอยู่ถ่ายรูปสักพักหันไปมาก็เริ่มเจอบอลลูนขึ้นทางเหนือของเจดีย์ครับ และบอลลูนั้นก็ค่อยๆ บินมาจนผ่านหน้าเราอย่างชัดเจนครับ (แต่น่าเสียใจที่บอลลูนลูกที่ผ่านหน้าเราไปเหมือนไปตกในพื้นที่ตอนที่เรากลับไปโรงแรมครับ) ภาพที่ 15-18 เม่ื่อบอลลูนเริ่มใกล้เข้ามาและผ่านหน้าเราไป ได้มองบอลลูนผ่านไปก็ฟินครับ
คราวนี้เลยนั่งคุยกันไปว่าถ้าจะนั่งบอลลูนเนี่ยะแพงไม้ ฝรั่งข้างๆ
ฟังภาษาไทยเหมือนรู้เลยบอกว่า (เป็นภาษาอังกฤษ) ว่าครั้งละ 400
ดอลล่า
ซึ่งก็แพงมากอยู่สำหรับงบเด็กน้อยเหมือนเรา เลยว่ามองไปก่อน 555
7.00
น.
เริ่มหิวครับเลยตัดสินใจกันว่าจะกลับโรงแรม
พอทางลงเท่านั้นแหละมองหน้ากันเลยว่าเดินผ่านรังต่อขนาดใหญ่มาได้ยังไงกันเพราะรังเขาอยู่บนหัวเราเลยครับ
ถ้ามองไม่ดีชนและอาจเป็นประเด็นได้
พอมาถึงฐานเจดีย์ก็จะพบกระพระสี่ด้านครับ
แต่ละด้านมีสีหน้าที่ไม่เหมือนกันครับ การปั้นและตกแต่งไม่อลังครับ
แต่สัมผัสได้ถึงความศรัทธา ภาพที่ 19 รังต่อครงทางขึ้นทางลงวิหารสุลามณี ภาพที่
20 หนึ่งในสี่องค์พระที่อยุ่ใต้ฐานวิหาร พอออกมาจากตัววิหารเราก็ยังเห็นภาพของบอลลูนลอยผ่านอยู่บ้างครับแต่ตอนนี้หิวแล้วก็เลยรีบออกไปขึ้นรถและตรงไปทางโรงแรม
แต่ก็ไม่วานสะดุดเจอเจดีย์ขนาดใหญ่อีกองค์
ซึ่งถามคนขับรถแกก็บอกว่าพี่ใจเย็นเย็น
(ภาษาไทยสำเนียงพม่า) เดี๋ยวก็กลับมาขึ้นนะ ภาพที่
21-23 ภาพภายนอกฐานวิหารและทางออกจากพื้นที่ 7.50
น.
กลับมาถึงโรงแรมอาบน้ำและก็ไปทานข้าวครับ
โรงแรมมีที่กินข้าวบนดาดฟ้าครับเดิ้ลมากมาย
แต่อาหารมีน้อยจนในใจตอนแรกก็ผิวหวังและงงว่าจะกินไรได้บ้าง
เพราะหน้าตาแปลกครับ
แต่พอกินและอิ่ม…. มันดีงาม
(แต่ขออภัยครับภาพมันหายไปเลยไม่ได้เอามาให้เห็นกัน) 8.30
น.
เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมครับซึ่งแผนเราคือตะลุยเจดีย์ต่อครับ
เรามาต่อที่เจดีย์ซึ่งคนขับรถติดผมอยู่เมื่อเช้าตรู่ชื่อว่า DHAMAYANYANGYI เจดีย์นี้มีฐานค่อนข้างใหญ่ครับ
ข้างในก็มีทางหลายซับซ้อนครับ ภาพที่ 24-25 พ่อค้าขายหุ่นกระบอกพม่าภายในเจดีย DHAMAYANYANGYI ภาพที่
26-27
เจดีย์สัพพัญญูและองค์พระภายใน 10:20 น. เราออกจากเจดีย์สัพพัญญูและไปต่อที่เจดีย์ที่ผมว่าโดดเด่นเป็นสง่าที่สุดแต่ดูเป็นที่ที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านที่สุดนั้นคือเจดีย์อนันดาครับ สำหรับผมเป็นที่ที่ต้องไปแต่ไปและไม่ค่อยอินครับ (เป็นเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก)
ภาพที่
21
เจดีย์อนันดา 11.30 น. หลังจากออกจากเจดีย์ที่สวยสุดของที่นี่เราก็ไปหาข้าวกลางวันทานในพื้นที่ ตอนแรกจะไปร้านที่มีการรีวิวในเว็บดังหลายอันแต่เมื่อไปถึงเหมือนเป็นร้านที่ลงทัวร์ดูคนเยอะ อีกร้านที่ก็เงียบๆ ไม่น่านั่งครับ เลยกลับไปวนหาร้านอาหารกินในดงโซนอาหารที่อยู่ในพื้นที่เจดีย์ (ต้องขอบคุณรีวิวร้านอาหารจากเว็บพันทิพย์ครับ) ร้านนี้บรรยากาศไม่ดีครับ แต่ก็ทำให้ได้เห็นรถม้า เห็นท่อนทานาคา ซึ่งพื้นบ้านแถวนี้มากมากครับ
ภาพที่ 22 กลิ่นอายวิถีท้องถิ่น
ภาพที่
23-25 อาหารพื้นบ้านครับแกกระหรี่ไก่
ไก่ผัดเม็ดมะม่วง และบาเก็ตครับ 12.20
น.
จากตรงนี้เรายังมีอีกสองเจดีย์ที่ต้องเก็บก่อนจะตรงกลับไปที่มัณฑเลย์เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกที่ที่มัณฑเลย์ฮิลล์ครับ
เราเลยรีบไปที่เจดีย์ Htilominlo
ครับซึ่งเจดีย์นี้สามารถมองเจดีย์อื่นได้ดีเนื่องจากด้านบนเป็นลานโล่งครับ
ถ้าจะเก็บภาพความประทับใจของเจดีย์ดังหลายๆ อันที่นี่ดีครับ
(ต้องขึ้นไปชั่นสองนะครับมีทางขึ้นเล็กๆ อยู่ซ้ายมือ) ภาพที่
26-27 เจดีย์ Htilominlo 12.50
น.
เราออกจากที่เจดีย์
Htilominlo
เพราะภายในไม่ได้มีอะไรมากครับมีองค์พระเหมือนเจดีย์องค์อื่น
แต่ที่ดีคือลานชมวิวชั้นสองครับ
จากนั้นเราจึงเดินทางไปเจดีย์ริมน้ำที่ชื่อว่าเจดีย์ BU
PAYA อันนี้บรรยากาศดีครับริมน้ำและมีท่าเรือพื้นบ้านเพื่อข้ามไปเจดีย์กลางน้ำอีกที่นึงครับ
แต่ผมไม่มีโอกาสไปเที่ยวนี้จึงขอป๊ะไว้ก่อน ภาพที่
28-29 ภาพและท่าเรือขนส่งพื้นบ้าน ณ เจดีย์
BU PAYA 13.30 น. เราอยู่สักพักก่อนที่จะหยิบแผนที่เจดีย์ทั้งหมดว่าเราเก็บครบไม้ที่สำคัญเราก็เจอว่ายังครับ
แต่ผมว่าเพียงพอและกับการสัมผัสถึงวิธีคิดของคนพม่าโบราณ
และเราก็ตระหนักว่าต้องรีบออกและด้วยเพราะมีอีกหลายที่ต้องไปชมและดูในมัณฑเลย์ จากตรงนี้ผมขอตัดไปภาค 2 นะครับเพราะค่อนข้างยาว ตอน 2 เที่ยวพม่าไม่ง้อไกด์ตอน มัณฑเลย์ ‘กะ’ พุกาม ตอน 2 (สะพานไม้ในตำนานและมัณฑเลย์) |